ภาพจากwww.andamandiscoveries.com/

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำเกษตรผสมผสาน….สร้างชีวิตพอเพียง




แม้ว่าภาคเกษตรในขณะนี้จะเป็นที่หมายปองของผู้ตกงานจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาประกอบอาชีพเกษตรเป็นเจ้าของกิจการเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร แต่ก็อยากให้ลองศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อนที่จะเข้ามาสู่อาชีพนี้อย่างจริงจัง เนื่องจากการเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ผ่านการเรียนรู้ลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาทั้งเรื่องภัยธรรมชาติ โรคแมลงศัตรูพืช ราคาผลผลิตตกต่ำ และปัญหาที่ดินทำกินอีกมากมายสารพัด
เกษตรกรจึงต้องเป็นผู้ที่มีความอดทน มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคพร้อมกันนี้ต้องเป็นผู้ที่ไม่หยุดนิ่ง ต้องมีการพัฒนาความสามารถของตนเองอยู่เสมอ เพื่อการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด อันจะนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างแท้จริง วันนี้เรามีตัวอย่างเกษตรกรที่ฝ่าฟันอุปสรรคสามารถพลิกฟื้นผืนดินที่ไม่มีความอุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นผืนดินที่เพาะปลูกพืชสร้างรายได้ทุกวัน สร้างชีวิตที่มีความสุขไม่มีหนี้สินอยู่แบบพอเพียงมาแนะนำ
นายสำรอง แตงพลับ เกษตรกรที่จบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่วันนี้เขาประสบความสำเร็จได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2553 สาขา การพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเรื่องนี้นายสำรอง เล่าว่า ผมเริ่มประกอบอาชีพเกษตรมาตั้งแต่ปี 2501 โดยทำไร่ปลูกสับปะรด ทำไร่อ้อย ทำมาจนกระทั่งปี 2535 ใช้ที่ดินติดต่อมาเรื่อยมีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดวัชพืช ศัตรูพืชติดต่อมาเป็นเวลานาน ไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินเลย ทำให้ดินเสื่อมโทรม ผลผลิตได้ไม่เต็มที่ ก็ต้องยิ่งใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว อีกทั้งตอนแรกที่เริ่มทำการเกษตรก็ได้ไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน เมื่อผลผลิตได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยขณะที่ต้นทุนสูง เป็นผลให้หนี้สินพอกพูน จึงคิดว่าทำอย่างไรดีที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
กระทั่งเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรจากทุกแหล่งที่หาได้ ที่สุดก็ได้เข้ามาเป็นหมอดินอาสาประจำตำบลของกรมพัฒนาที่ดิน จึงได้รับความรู้เรื่องการปรับปรุงบำรุงดินทำให้สามารถพลิกฟื้นผืนดินที่เคยมีปัญหาดินเสื่อมโทรม ให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังได้เข้าเป็นสมาชิกศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และนี่เองก็เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ชีวิตดีขึ้น
เมื่อมีความรู้ด้านการพัฒนาที่ดินเพิ่มขึ้นจึงได้ปรับระบบจากการปลูกเชิงเดี่ยวมาเป็นการทำเกษตรผสมผสาน โดยวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินตามความเหมาะสมของดิน โดยแบ่งพื้นที่จำนวน 5 ไร่ ทำการเกษตรในรูปแบบไร่นาสวนผสมโดยปลูกไม้ผล พืชผัก พืชไร่ ต่อมาได้ขยายพื้นที่ขุดร่องสวนเพิ่มอีก 8 ไร่ ขุดสระน้ำ 1 บ่อ จำนวน 1 ไร่ ขุดบ่อเลี้ยงปลาอีก 3 ไร่ และขยายพื้นที่ปลูกไม้ผล และนาข้าวเพิ่มขึ้นอีก รวมเนื้อที่ทั้งหมด 30 ไร่ นอกจากนี้ ในด้านการปรับปรุงบำรุงดินยังได้เพาะเลี้ยงไส้เดือนดินเพื่อช่วยในการย่อยใบไม้และเศษพืชผัก ใช้เป็นปุ๋ยหมักได้เร็วขึ้น และมีการทำและใช้น้ำหมักชีวภาพจากสารเร่งจุลินทรีย์ของกรมพัฒนาที่ดินร่วมกับเศษผักผลไม้ใช้ในการบำรุงดินและใช้เพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นในคอกหมูหลุม โดยให้สัตว์กินและราดทำความสะอาดในพื้นคอกสัตว์ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่มีแมลงวันรบกวน พร้อมกับผลิตเตาน้ำส้มควันไม้เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช ซึ่งได้ทั้งถ่านและน้ำส้มควันไม้จำนวนมาก
“ทุกวันนี้ผมสามารถสร้างรายได้จากการขายผลผลิตในไร่เรียกว่ามีรายได้ทุกวันและลดรายจ่ายจาการใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีลงมาก ทำให้ผมสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้ และถึงแม้ว่าผมจะไม่มีหนี้สินแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยึดถือปฏิบัติมาตลอดคือการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวปรัชญาของในหลวง อีกสิ่งที่สำคัญคือทุกวันนี้ผมยังไม่หยุดที่จะหาความรู้ใส่ตัว เนื่องจากเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราสามารถนำความรู้ของเราที่มีอยู่มาปรับใช้ผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ ทำให้เราเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง” หมอดินสำรอง กล่าวย้ำ
หากสนใจอยากจะเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอดินดีเด่นท่านนี้ สามารถติดต่อไปได้ที่ 69/1 ม.4 ต.ไร่ใหม่พัฒนา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี.

ไม่มีความคิดเห็น: